Motive Influence เร่งสร้างมาตรฐาน Influencer Marketing
ประกาศจุดยืน ‘สร้างสรรค์สังคม’
กรุงเทพฯ : จากกรณีกระแสสังคมในเรื่องของสินค้าด้อยคุณภาพที่เกิดขึ้นในโลกโซเชียล จนทำให้เกิดคำถามที่มีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคขึ้นมากมาย เนื่องมาจากการที่หลายๆ แบรนด์ได้นำกลยุทธ์ Influencer Marketing มาใช้ เพื่อช่วยสร้าง Engagement ให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค และสร้าง Awareness หรือความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ ทำให้ดูว่าสินค้ามีการใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยใช้เหล่าผู้นำทางความคิด Key Opinion Leader (KOL) มาสื่อสารให้ออกไปเป็นตัวแทนของแบรนด์ เพื่อทำการตลาดผ่านสื่อสังคมออนไลน์ในแพลตฟอร์มต่าง ๆ
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นในใจของผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ Influencer marketing หรือไม่ ? เป็นคำถามที่กลุ่มธุรกิจต้องหาคำตอบว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ Influencer/KOL เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป หรืออาจทำให้นักการตลาดทำงานยากขึ้นไปอีก แม้แต่กลุ่มผู้บริโภคเองที่เสื่อมความเชื่อถือกับการใช้วิธีการนี้ ซึ่งกรณีนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้กับหลายฝ่ายได้เป็นอย่างดี ว่าแนวทางการใช้งาน Influencer marketing ที่ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นควรจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลต่อความเชื่อมั่นในใจของผู้บริโภคต่อกลยุทธ์ Influencer marketing หรือไม่ ? เป็นคำถามที่กลุ่มธุรกิจต้องหาคำตอบว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ Influencer/KOL เป็นกลยุทธ์ที่ไม่ได้รับความนิยมอีกต่อไป หรืออาจทำให้นักการตลาดทำงานยากขึ้นไปอีก แม้แต่กลุ่มผู้บริโภคเองที่เสื่อมความเชื่อถือกับการใช้วิธีการนี้ ซึ่งกรณีนี้น่าจะเป็นบทเรียนให้กับหลายฝ่ายได้เป็นอย่างดี ว่าแนวทางการใช้งาน Influencer marketing ที่ยังสามารถสร้างความเชื่อมั่นควรจะเป็นอย่างไรต่อไป ?
คุณสุทธิชัย รัตนวิไลวรรณ ผู้บริหาร Motive Influence ที่ได้เร่งทำการสื่อสารกับแบรนด์ในช่วงที่ผ่านมา เพื่อให้แบรนด์เห็นประโยชน์ร่วมกันของการสร้างมาตรฐานที่ชัดเจนต่อผู้บริโภค เพื่อความโปร่งใสและความน่าเชื่อถือ ให้กับอุตสาหกรรมนี้ “เรามองหาทางออกให้กับปัญหานี้ด้วยการทำให้มันชัดเจนขึ้น สร้างความยุติธรรมให้กับผู้บริโภค ซึ่งเป็นนโยบายหลักที่มีอยู่เดิม นอกเหนือจากการตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลสินค้าซึ่งได้ดำเนินการเป็นปกติอยู่แล้ว เพียงแต่เราเร่งดำเนินการให้เร็วขึ้น เพื่อให้ Motive เป็นมาตรฐานที่ดีให้กับธุรกิจนี้ ด้วยการเริ่มให้ Influencer ของทาง Motive ใส่คำว่า #Sponsored หรือ #Partnerwith… ในโพสต์ เราต้องการบอกให้สังคม ให้ทางผู้บริโภครับรู้เลยว่า เจ้าของโพสต์ ได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากแบรนด์ ก็เพื่อที่จะพยายามเปลี่ยนแปลง แก้ไขปัญหา และสร้างมาตรฐานให้กับสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม เราจึงพยายามที่จะเร่งดำเนินการออกไป แล้วแบรนด์ต่าง ๆ ก็เริ่มเห็นความสำคัญด้วยเช่นกัน เรื่องนี้เรามองเป็น 3 มิติ คือ ตัวแบรนด์เอง ผู้บริโภค Influencer โดยที่ทุก ๆ ฝ่ายได้ประโยชน์ทั้งหมดจากการยืนหยัดในหลักการในการสร้างมาตรฐานให้ดียิ่งขึ้นต่อไปในอุตสาหกรรมนี้” คุณสุทธิชัยกล่าว
#Sponsored หรือ #Partnerwith… จึงเป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในการแจ้งให้ชัดเจนว่าโพสต์นี้ ผุ้โพสต์ได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากทางแบรนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีให้เกิดขึ้น โดยอิงมาจากประเทศที่มีมาตรฐานเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคสูงกว่า ของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมาตรฐานของ Federal Trade Commission (FTC) เพื่อใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภคของตน โดยทาง Motive Influencer ได้ยึดเอาหลักการของ FTC ไว้เป็นแบบอย่างในการสร้างสรรค์งานที่รับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภค
#Sponsored หรือ #Partnerwith… จึงเป็นคำที่ถูกนำมาใช้ในการแจ้งให้ชัดเจนว่าโพสต์นี้ ผุ้โพสต์ได้รับผลประโยชน์บางอย่างจากทางแบรนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานที่ดีให้เกิดขึ้น โดยอิงมาจากประเทศที่มีมาตรฐานเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคสูงกว่า ของประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งมีมาตรฐานของ Federal Trade Commission (FTC) เพื่อใช้ในการคุ้มครองผู้บริโภคของตน โดยทาง Motive Influencer ได้ยึดเอาหลักการของ FTC ไว้เป็นแบบอย่างในการสร้างสรรค์งานที่รับผิดชอบต่อสังคมและผู้บริโภค
คุณสุทธิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โดยนโยบายหลักของทาง Motive ได้ให้ความสำคัญกับ Natural Sharer ของกลุ่ม Micro Influencer อยู่แล้ว คนกลุ่มนี้มีการแชร์ประสบการณ์ของตัวเองกับกลุ่มเพื่อนหรือ follower ของเขาอยู่แล้วตามธรรมชาติ Motive ต้องการรักษาธรรมชาติที่ดีตรงนี้ไว้ เราจึงหลีกเลี่ยงการใช้ Money Talk กับพวกเขา เราให้เกียรติพวกเขาและธรรมชาติอันนี้ Motive เราเน้นการแสดงตัวตน คาแรคเตอร์ ของ Micro Influencer เป็นหลัก โดยไม่ไปบังคับหรือทำให้เค้าเสียตัวตน ซึ่งกติกาของทาง Motive เองจะเป็นการเชิญชวน Micro Influencer กลุ่มนี้เข้ามาร่วมสนุก มาทำกิจกรรมกันมากกว่า เพื่อให้เขาได้แชร์ ได้แบ่งปันเรื่องราวและประสบการณ์ดี ๆ ให้กับกลุ่ม Follower ของเขา ทำให้รับทราบหรือรับรู้ถึงแคมเปญต่าง ๆ ที่เราสร้างสรรค์ขึ้นมา ทาง Motive ใช้นโยบายหลักๆ คือถือว่าให้มาร่วมสนุกกัน ในลักษณะของเพื่อนบอกเพื่อน ซึ่งในการทำงานกลุ่ม Influencer ก็จะมีอยู่ 2 กลุ่มคือ กลุ่ม Professional Influencer กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มมืออาชีพ หารายได้จากฐาน Follower จำนวนมากของตน และอีกกลุ่มคือ Micro Influencer หรือ Natural Sharer ที่ใช้โซเชียลมีเดียในการแบ่งปันประสบการณ์กับกลุ่มของตนตามธรรมชาติ ทาง Motive เข้าใจลักษณะที่ต่างกันนี้เป็นอย่างดี และต้องการที่จะรักษาธรรมชาติของ Micro Influencer ที่เป็น Natural Sharer ไว้ให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทุกครั้งที่ Micro Influencer ร่วมกิจกรรมกับเรา เราจะให้ Points เป็นการแสดงความขอบคุณ Points นี้สามารถสะสมเพื่อใช้แลกรับประสบการณ์ใหม่ๆ จากเราเช่น ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว gadget ต่าง ๆ เพื่อที่จะนำไปแชร์ หรือเล่าต่อให้กับเพื่อนๆ หรือ Follower ได้อีกไม่รู้จบ”
“เราจึงอยากให้ผู้อ่านหรือกลุ่มผู้บริโภคเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามันเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Influencer กับแบรนด์ มีผลประโยชน์บางอย่างที่ Influencer ได้รับ อันอาจมีอิทธิพลต่อความคิดของ Influencer ได้ เราจึงประกาศให้ชัดไปเลย เพื่อแสดงความจริงใจกับผู้บริโภค ที่ทั้งทาง Motive และทางแบรนด์ให้ความสำคัญ เพื่อช่วยกันสร้างมาตรฐานที่ดีต่ออุตสาหกรรม และสังคมต่อไป” คุณสุทธิชัย กล่าวปิดท้าย
“เราจึงอยากให้ผู้อ่านหรือกลุ่มผู้บริโภคเห็นชัดเจนยิ่งขึ้นว่ามันเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าง Influencer กับแบรนด์ มีผลประโยชน์บางอย่างที่ Influencer ได้รับ อันอาจมีอิทธิพลต่อความคิดของ Influencer ได้ เราจึงประกาศให้ชัดไปเลย เพื่อแสดงความจริงใจกับผู้บริโภค ที่ทั้งทาง Motive และทางแบรนด์ให้ความสำคัญ เพื่อช่วยกันสร้างมาตรฐานที่ดีต่ออุตสาหกรรม และสังคมต่อไป” คุณสุทธิชัย กล่าวปิดท้าย