เลือกแหวนแต่งงานแบบวินเทจให้สวยแพงและแตกต่าง
เราอยู่ในยุคที่การเลือกแหวนหมั้น หรือแหวนแต่งงาน โดยในความสำคัญที่ขนาดมากกว่าดีไซน์ แน่นอนว่าไม่ใช่คู่บ่าว-สาวทุกคนจะคิดแบบนั้น แต่ด้วยวัฒนธรรมและการวัดระดับฐานะทางสังคมเป็นแรงผลักให้การเลือกแหวนแต่งงานเป็นไปตามนั้น
หลายคนอาจจะบอกว่าขนาดอัญมณีที่ใหญ่โตจะทำให้แหวนของคุณดูเปล่งประกายมากขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะการเจียระไนเพื่อให้เกิดองศาที่ทำแหวนมีความแวววาวและรูปแบบของแหวนก็สำคัญเช่นกัน
ดังนั้น หากคุณเป็นคู่บ่าวสาว ที่กำลังมองหาแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานที่เอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบแหวนให้มีดีไซน์ที่ซับซ้อนและเป็นแหวนที่มีความคลาสสิค เพราะแม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแหวนของเราก็จะยังคงสวยไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
หลายคนอาจจะบอกว่าขนาดอัญมณีที่ใหญ่โตจะทำให้แหวนของคุณดูเปล่งประกายมากขึ้น นั่นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะการเจียระไนเพื่อให้เกิดองศาที่ทำแหวนมีความแวววาวและรูปแบบของแหวนก็สำคัญเช่นกัน
ดังนั้น หากคุณเป็นคู่บ่าวสาว ที่กำลังมองหาแหวนหมั้นหรือแหวนแต่งงานที่เอกลักษณ์และไม่เหมือนใคร ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบแหวนให้มีดีไซน์ที่ซับซ้อนและเป็นแหวนที่มีความคลาสสิค เพราะแม้เวลาผ่านไปนานแค่ไหนแหวนของเราก็จะยังคงสวยไม่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
แหวนแต่งงาน ควรเลือกดีไซน์ที่คลาสสิคและเลือกให้เหมาะกับนิ้วของคุณ เพื่อให้สวมใส่พอดีและยังคงสวยแม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
วิวัฒนาการของแหวนหมั้นจากยุค 1900-1950
1900-1910: Lace and lightness
ยุคที่เน้นลวดลายการทำแหวนที่ละเอียดอ่อน เน้นการทำมือสร้างสรรค์งานศิลปะบนแพทตินัม และอัญมณีที่ใช้ทำแหวนแต่งงานจะนิยมใส่เพชรไว้ตรงกลาง แล้วเลือกพลอยหรือไข่มุกมาล้อมรอบเพื่อเพิ่มสีสันที่สะดุดตา ที่สำคัญในยุคนั้นมักจะทำวงแหวนให้มีขนาดเล็ก
1910-1920: Candlelit romance
ในยุคที่นิยมสีขาว การเลือกไข่มุกและเพชรในแหวนแต่งงาน มีการเจียระไนในรูปทรงเรขาคณิตมากขึ้น การเลือกเพชรขนาดใหญ่และการหยิบไข่มุกสีขาวมาเพิ่มความโรแมนติกโดยการผสานทั้งสองสิ่งให้อยู่ในแหวนวงเดียวอย่างลงตัว
1920-1930: Bold and vibrant
ในยุคนี้เน้นการทำแหวนที่มีรูปทรงเรขาคณิตอย่างสี่เหลี่ยม (Emerald) และ ทรงข้าวหลามตัด (Princess) และมีการตกแต่งรอบๆด้วยอัญมณีที่มีสีสัน โดยดีไซน์เหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากฝรั่งเศส
1930-1940: Understated elegance
ในยุคของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อัญมณีหาได้ยากขึ้น ช่างทำแหวนก็ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดงานศิลปะที่หายากและเป็นของสะสมที่มีคุณค่า รูปแบบของแหวนแต่งงานในยุคนี้นิยมการเจียระไนแบบเพชรรูปข้ามหลามตัด หรือ (Princess)
1940-1950: Feminine and flowing
แหวนแต่งงานที่มีสีสัน นิยมนำทับทิมหรือพลอยไพลินมาใช้ทำแหวน โดยรอบจะถูกตกแต่งด้วยเพชรหรือไข่มุก เน้นการการออบแบบให้แหวนมีลักษณะคล้ายดอกไม้หรือริบบิ้น ส่วนแหวนทองจะนิยมใช้ทองคำและทองสีชมพูหรือ Rose Gold
ยุคที่เน้นลวดลายการทำแหวนที่ละเอียดอ่อน เน้นการทำมือสร้างสรรค์งานศิลปะบนแพทตินัม และอัญมณีที่ใช้ทำแหวนแต่งงานจะนิยมใส่เพชรไว้ตรงกลาง แล้วเลือกพลอยหรือไข่มุกมาล้อมรอบเพื่อเพิ่มสีสันที่สะดุดตา ที่สำคัญในยุคนั้นมักจะทำวงแหวนให้มีขนาดเล็ก
1910-1920: Candlelit romance
ในยุคที่นิยมสีขาว การเลือกไข่มุกและเพชรในแหวนแต่งงาน มีการเจียระไนในรูปทรงเรขาคณิตมากขึ้น การเลือกเพชรขนาดใหญ่และการหยิบไข่มุกสีขาวมาเพิ่มความโรแมนติกโดยการผสานทั้งสองสิ่งให้อยู่ในแหวนวงเดียวอย่างลงตัว
1920-1930: Bold and vibrant
ในยุคนี้เน้นการทำแหวนที่มีรูปทรงเรขาคณิตอย่างสี่เหลี่ยม (Emerald) และ ทรงข้าวหลามตัด (Princess) และมีการตกแต่งรอบๆด้วยอัญมณีที่มีสีสัน โดยดีไซน์เหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากฝรั่งเศส
1930-1940: Understated elegance
ในยุคของการเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้อัญมณีหาได้ยากขึ้น ช่างทำแหวนก็ลดจำนวนลงอย่างเห็นได้ชัดทำให้เกิดงานศิลปะที่หายากและเป็นของสะสมที่มีคุณค่า รูปแบบของแหวนแต่งงานในยุคนี้นิยมการเจียระไนแบบเพชรรูปข้ามหลามตัด หรือ (Princess)
1940-1950: Feminine and flowing
แหวนแต่งงานที่มีสีสัน นิยมนำทับทิมหรือพลอยไพลินมาใช้ทำแหวน โดยรอบจะถูกตกแต่งด้วยเพชรหรือไข่มุก เน้นการการออบแบบให้แหวนมีลักษณะคล้ายดอกไม้หรือริบบิ้น ส่วนแหวนทองจะนิยมใช้ทองคำและทองสีชมพูหรือ Rose Gold
มาดูตัวอย่างของแหวนแต่งงานแบบวินเทจที่ดูสวยแพงและไม่ซ้ำใครกันค่ะ