น้ำหนักไม่ลง ยิ่งลดยิ่งเพิ่ม มาลองวิธีลดน้ำหนักแบบ IF กัน

การลดน้ำหนักแบบ IF หรือ Intermittent Fasting 
if คือ การลดน้ำหนักแบบเลือกทานและอดอาหารเป็นช่วงเวลา เช่น ใน 1 วัน กำหนดทานอาหาร 8 ชั่วโมง (9.00 น. -17.00) และใน 16 ชั่วโมงที่เหลือ งดทานอาหาร ทานน้ำเปล่าแทน เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานไขมันและน้ำตาลที่เก็บสะสมไว้

วิธีการลดน้ำหนักแบบ IF 

Shorter fasts การอดอาหารระยะสั้น
การเลือกอดอาหารมีความยืดหยุ่นจะสั้นหรือยาวคุณสามารถเลือกกำหนดได้ด้วยตัวเอง แต่สูตรที่ได้รับความนิยมจะเป็นการทำIF แบบ 16:8 และ 20:4

• 16:8 คือ การอดอาหารเป็นเวลา 16 ชั่วโมง ช่วงเวลากินอาหาร 8 ชั่วโมง 

ตัวอย่างเช่น คุณอาจกินอาหารทั้งหมดภายในช่วงเวลา 11:00 น. ถึง 19:00 น. โดยทั่วไปหมายถึงการข้ามมื้อเช้า หรือคุณกินอาหารสองหรือสามมื้อภายในระยะเวลา 8 ชั่วโมงเท่านั้น

• 20:4 คือ การอดอาหารเป็นเวลา 20ชั่วโมง มีเวลากินอาหารเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะกินระหว่าง 14:00 ถึง 18:00 น. ทุกวัน และอดอาหาร 20 ชั่วโมง โดยการรับประทานอาหารหนึ่งหรือสองมื้อเล็กๆ ภายในระยะเวลา 4 ชั่วโมง

Longer fasts (>24 hours) การอดอาหารมากกว่า 24 ชั่วโมง
ในส่วนนี้เราจะไม่ขอพูดถึงเนื่องจากเป็นการอดอาหารในช่วงเวลาที่ยาวนานเกินไปต้องใช้ความอดทนค่อนข้างมากจนทำให้การลดน้ำหนักของคุณอาจล้มเหลว แถมยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพ 

การทำงานของ IF

ช่วงเวลาที่กิน ตอนที่กินข้าวทำให้อินซูลินเพิ่มขึ้น ร่างกายจะเก็บน้ำตาลไว้ หากมากเกินไปน้ำตาลจะถูกเปลี่ยนเป็นไขมัน  ซึ่งเป็นผลทำให้เราอ้วนขึ้น

ช่วงเวลาที่อด ในช่วงเวลาที่เราอดอาหาร อินซูลินจะลดลง ร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนให้เราทานข้าว และหากคุณไม่กินอะไรเข้าไป ร่างกายจะเผาผลาญน้ำตาลและไขมันในตัวที่เก็บสะสมไว้

ผลลัพธ์ที่ได้หลังจากลดน้ำหนักแบบ IF

1. หลังจากที่ทำ IF คุณจะมีระบบการเผาผลาญดีขึ้น ร่างกายจะเผาผลาญพลังงานไขมันและน้ำตาลที่เก็บสะสมไว้ ทำให้น้ำหนักลดลง ไขมันลดลง และลดคอเลตเตอรอลในร่างกาย
2. ช่วยผลัดเซลล์ใหม่ ทำให้คุณมีผิวพรรณดีขึ้น (จากงานวิจัยของ Yoshinori Ohsumi ที่ได้รับรางวัล Nobel prize for medicine 2016)
3. ทำให้คุณมีสมาธิมากขึ้น และมี energy  เพิ่มขึ้น 
4. ระดับอินซูลินและน้ำตาลในเลือดลดลง ทำให้ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้

บุคคลที่ไม่ควรทำ IF 

1. คนที่มีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ BMI < 18.5 เช็ค BMIของคุณได้ที่นี่ BMI-ดัชนีมวลกาย
2. หญิงตั้งครรภ์ , แม่ที่ให้นมบุตร และเด็กอายุน้อยกว่า 18 ปี  
3. ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวและรับประทานยาเป็นประจำ
4. ผู้ป่วยโรคเบาหวานสามารถทำได้แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

อ้างอิงข้อมูลจาก: dietdoctor.com

อยากหุ่นสวย สุขภาพดี อย่าลืมออกกำลังกายด้วยนะคะ 

บทความแนะนำ:

20 เมนูลดน้ำหนัก พร้อมสูตรและวิธีทำ 

เผยอาหาร 12 อย่างมี "วิตามินซีสูง" กว่าส้ม 

12 สมูทตี้ลดน้ำหนัก ทำง่ายอิ่มท้องช่วยดีท็อก

home